หลวงปู่เชิญ เทพนภา


หลวงปู่เชิญ เทพนภา หัดเรียนเขียนอ่านหนังสือไทยขอมจากโยมตา เขียนเป็นตั้งแต่ ๔-๕ ขวบ พอโตขึ้นมานิดก็มีโอกาสรับใช้หลวงปู่เมฆ วัดท่าอิฐ ทำให้ได้เรียนการเลี้ยงผีและลบผงอิทธเจจากหลวงปู่รูปดังกล่าว ซึ่งเป็นศิษย์สายสมเด็จฯโต หลวงปู่ท่านบวชเป็นเณรตอนอายุ ๑๑ ปี พระอาจารย์นำมาฝากเรียนนักธรรมและอยู่ปรนนิบัติรับใช้สมเด็จพระสังฆราชแพเกือบ ๑๐ ปี ทำให้ได้คาถามหาเมตตาจากสมเด็จฯท่านและได้วิชาจากท่านเจ้าคุณศรีสนธ์อีกทั้งได้ติดตามพระเทพรังสีจากวัดสุทัศน์ฯไปวัดโพธิ์บ่อยๆจนสนิทกับพระอาจารย์หนูเกจิจากเขมรผู้สร้างพระผงกระดูกผี วัดโพธิ์อันโด่งดัง จึงได้รับการถ่ายทอดวิชากับท่าน



พระอาจารย์หนู

ท่านนี้ก็เป็นพระสงฆ์จาก จังหวัดสุรินทร์มีเชื้อสายเป็นชาวเขมรแต่มีวิชาอาคมแก่กล้า และเชี่ยวชาญทางวิทยาคม กับไสยศาสตร์มาก ่มีความศักดิ์สิทธิ์ทางคาถาอาคมจนเป็นที่ประจักษ์และมีคนนับถือกันมาก นอกจากนี้ท่านยังชอบเลี้ยงว่านด้วย ที่กุฎิของท่านจึงมีว่านต่างๆ หลายชนิดที่พระอาจารย์หนูได้เลี้ยงไว้ วิชาทางการแพทย์แผนโบราณพระอาจารย์หนูท่านก็มีความชำนาญสมัยนั้นที่กุฏิของพระอาจารย์หนูจึงมีคนไปขอความอนุเคราะห์จากท่านอยู่บ่อยๆ บ้างก็ไปขอวัตถุมงคล บ้างก็ไปขอให้ท่านรดน้ำมนต์และบ้างก็ไปขอให้ท่านรักษาโรค

ตอนที่ทหารญี่ปุ่นเข้ามาตั้งฐานทัพในประเทศไทยนั้นจึงมีเครื่องบินของฝ่ายพันธมิตรมาทิ้งระเบิดตามฐานทัพของทหารญี่ปุ่นและตามจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญอื่นๆ การทิ้งระเบิดเป็นการทิ้งแบบปูพรม และเครื่องบินก็บินสูง การทิ้งระเบิดจึงทำให้เกิดการพลาดเป้าหมายไปถูกบ้านเรือนของประชาชนอยู่เป็นประจำ มีประชาชนเสียชีวิตและบาดเจ็บพิการเพราะการถูกลูกหลงจากการทิ้งระเบิดกันเป็นจำนวนมาก พระอาจารย์หนูท่านเกิดความสงสารประชาชนเหล่านั้นที่พลอยมารับเคราะห์ไปด้วย จึงได้ดำเนินการสร้างพระขึ้นมาเพื่อแจกประชาชนนำไปป้องกันอันตรายจากการทิ้งระเบิดด้วยตัวของท่านเอง


เนื่องจากพระอาจารย์หนูท่านมีความชำนาญในวิชาอาคมและไสยศาสตร์ การสร้าง พระเครื่องของท่านจึงได้ดำเนินการแบบพิสดารผิดไปจากการสร้างพระเครื่องของอาจารย์อื่นๆ ท่านไม่เอาวัสดุจำพวกโลหะ ผงวิเศษ หรือ ดินมาสร้าง แต่ท่านได้นำเอา ขี้เถ้ากระดูกผีของคนตาย มาสร้าง การที่ท่านนำเอาขี้เถ้ากระดูกผีของคนตายมาสร้างพระเครื่องก็คงเป็นเหตุผลของท่านเอง เนื่องจากขี้เถ้ากระดูกผีของคนตายนี้ตามหลักของวิชาไสยศาสตร์ก็ถือว่าเป็นวัสดุอาถรรพณ์ชนิดหนึ่ง แต่การที่จะเอาขี้เถ้ากระดูกผีของคนตายมาสร้างวัตถุมงคลนั้นต้องเป็นคนที่มีวิชาอาคมแก่กล้าถึงจะทำได้ เพราะของแบบนี้ย่อมมีแรงอาถรรพณ์อยู่ในตัว

แต่ขี้เถ้ากระดูกผีที่พระอาจารย์หนูนำมาสร้างพระเครื่องนั้นก็ไม่ได้จำเพาะว่าจะจะต้องเป็นขี้เถ้ากระดูกผีของคนที่ตายโหง หรือตายวันเสาร์เผาวันอังคารไม่ เป็นขี้เถ้าของกระดูกผีของคนตายแบบไหนก็ได้ ซึ่งสมัยนั้นคนตายนิยมเผากันตามเชิงตะกอน ในสมัยสงครามก็ยิ่งมีคนตายกันมาก ขี้เถ้ากระดูกผีของคนตายจึงสามารถหาได้ง่าย

แต่ก่อนที่จะเอาขี้เถ้ากระดูกผีมาพระอาจารย์หนูก็จะทำพิธีพลีกรรมก่อนทุกครั้งตามวิชาที่ท่านเรียนมา พระผงกระดูกของพระอาจารย์หนูนอกจากจะสร้างจากขี้เถ้ากระดูกผีของคนตายแล้ว พระอาจารย์หนูยังได้เอา ว่านโพง มาบดให้ละเอียดผสมเข้าไปด้วย สำหรับว่านโพงนี้มีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ว่านกระสือ เชื่อกันว่าเป็นว่านที่มีวิญญาณสิงอยู่ มักขึ้นอยู่ตามป่าลึก
หากมีคนหรือสัตว์พลัดหลงเข้าไปก็อาจจะถูกวิญญาณที่สิงอยู่ในต้นว่านดูดเลือดกินจนตายไป ซึ่งว่านชนิดนี้อาจารย์ไสยศาสตร์ที่มีวิชาอาคมชอบเลี้ยงเพื่อไว้เฝ้าบ้าน หรือบางทีก็ใช้วิชาอาคมสะกดให้วิญญาณออกไปทำร้ายศัตรู การเลี้ยงว่านโพงหรือว่านกระสือนี้จะเลี้ยงยากกว่าว่านชนิดอื่นๆ ต้องเป็นผู้มีวิชาอาคมแก่กล้าเท่านั้นถึงจะเลี้ยงได้ และการเลี้ยงก็ใช้เลือดสดๆ ของสัตว์ต่างๆ มารดที่ต้นว่านแทนการรดเลี้ยงด้วยน้ำเหมือนพืชทั่วไป ว่านต่างๆ ที่พระอาจารย์หนูท่านเลี้ยงรอบกุฏินั้น ก็มีว่านโพงรวมอยู่ด้วย ท่านได้ทำพิธีว่าน(ขุดว่าน) ตามตำราแล้วเอาหัวว่านมาตากให้แห้งบดเป็นผงให้ละเอียด ผสมกับขี้เถ้ากระดูกผีของคนตาย รวมเข้าด้วยกันสร้างเป็นพระเครื่องขึ้นมา ในการปลุกเสกนั้น พระอาจารย์หนูท่านไม่ได้จัดแบบพิธีพุทธาภิเษก แต่ปลุกเสกด้วยวิชาอาคมตามตำราที่เรียนมาด้วยตัวท่านเพียงท่านเดียว








 สำหรับปลัดเทพดอกทองติดเทอร์โบ ไม่รู้ติดใจอะไรกันนักหนา ทำเอาปลัดเทพดอกทองธรรมดา ไม่มีคนสนใจเลย พอได้ข่าวว่าเทอร์โบที่ว่า โมดิฟายล์โดนอาจารย์เอก มหาเสน่ห์ สำนักแต่งเสน่ห์ร้อนแรงแห่งปี กะเอาให้สุดๆมันไม่จุกอกไม่ยอม ขนมาทั้งสีผึ้งสาวหลง สีผึ้งหลวงปู่เรือง สีผึ้งดอกทอง ผงเทอร์โบล้วนๆจากพระเกจิที่สืบสายวิชาเทพดอกทอง ที่เขียนผงได้ขลังจริง แรงจริง หลวงปู่เชิญเทพ อาศรมเทพนภา ขณะเวลาที่ท่านเขียนผงเสน่ห์แรๆ ต้องคลุมมุ้งเอาไว้ ถ้าไม่คลุมมุ่งเดี่ยวผงจะโดนลมพัดปลิวออกมา ถ้าเป็นผู้ชายเดินผ่าน จะเป็นสุดยอดหนุ่นเสน่ห์แรงแห่งยุค แต่ถ้าผู้หญิงเดินผ่านจะอันตราย เดี่ยวจะกลายเป็นผู้หญิงร้อนแรงเอาไม่อยู่ หลวงปู่ก็เลยต้องคลุมมุ้งเอาไว้






ไม้เทพทาโร หรือใบเทวทารุ ต้นไม้ชนิดนี้ มีผู้ตีความไว้สองประเภทว่า ประเภทแรกคือ ไม้เทพทาโร หรือภาคใต้เรียก จวง จวงหอม ภาคเหนือเรียก จะไค้ต้น จะไค้หอม ชาวไทยมุสลิมจะเรียกว่า "แตยอ" มีชื่อเรียกเป็นภาษาบาลีว่า เทวทารุ นารท เป็นพันธุ์ไม้แถบเอเชีย เขตร้อน ไทย พม่า มลายู คาบสมุทรอินโดจีน และสุมาตรา พบมากบนพื้นที่สูง ในประเทศไทยพบมากที่สุกคือภาคใต้ เป็นพันธุ์ไม้พื้นเมืองเก่าแก่ของไทย ต้นเทพทาโร เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง ไม่ผลัดใบ สีเขียวเข้ม เมื่อถากเปลือกออกจะมีกลิ่นหอมฉุนมาก




ในไทยปรากฏหลักฐานการใช้ประโยชน์ของไม้เทพทาโร หรือจวงหอม ดังปรากฏในไตรภูมิพระร่วง สมัยสุโขทัย ที่กล่าวถึงการบูชาจักรรัตนะ (ของคู่บารมีพระมหาจักรพรรดิตราธิราช) "ข้าวตอกแลไม้หอม บุปผชาติเทียนแลธูปวาสะชวาลาแลกระแจะจวงจันทร์น้ำมันหอม มาไวมานบคำรพวันทนาการบูชาแก่จงจักรแก้วนั้น" หรือพรรณนาถึงสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ว่า "หอมกระแจะจวงจันทร์อีกพรรณดอกไม้อันขจรทุกแห่ง แต่งพัดเข้าเร้าเถิงพระอินทร์จิงไปเหล้นที่สวนนั้นสนุกนิ์นัก"



ขับเคลื่อนโดย Blogger.